วัดมาบจันทร์
สถานที่ตั้ง
วัดมาบจันทร์ตั้งอยู่บริเวณเขายายดา ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ในพื้นที่กว่าหนึ่งพันไร่ เป็นเขตป่าเขาที่มีความสมบูรณ์อย่างมาก ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นยังมีสัตว์ป่านาๆ ชนิด เช่นเสือปลา หมี เก้ง อีเห็น ชะมด นกต่างๆ อยู่ตามป่าเขา ความสงบร่มรื่น และทัศนียภาพธรรมชาติที่สวยงาม มีนํ้าหลากตามร่องนํ้าธรรมชาติในหน้าฝน มีลมพัดทั้ง ๔ ทิศ เหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง
นามเดิม
วัดมาบจันทร์ เมื่อครั้งเป็นสำนักสงฆ์มีชื่อเดิมว่า สำนักสงฆ์สุภัททะบรรพต มีความหมายว่าภูเขาแห่งความเจริญรุ่งเรือง โดยการตั้งชื่อของสำนักสงฆ์ ตั้งขึ้นตามนามฉายาของท่านพระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท) หรือหลวงปู่ชา ซึ่งท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี โดยวัดมาบจันทร์เป็นสาขาวัดหนองป่าพงที่ ๗๓
จากนิมิตความฝันสู่ศรัทธา
ช่วงออกพรรษา ปี พุทธศักราช ๒๔๒๗ นายสมพล สุวรรณโชติ หรือโยมซ่วนฝันว่า เห็นพระชราองค์หนึ่งเดินอยู่ ในระหว่างทางที่เดินอยู่นั้น ราวกับว่ามีดอกไม้หลากสีนานาพรรณ สวยงามมาก พระชรารูปนั้นก็หันไปมองโยมซ่วน เหมือนกับว่าให้เดินตามมา โยมซ่วนก็เดินตามพระชรารูปนั้น ท่านก็ให้นั่งที่พื้น นั่งขัดสมาธิ ตัวโยมซ่วนเองก็นั่งอยู่ห่างจากท่านประมาณสองเมตร พระชรารูปนั้นก็โยนพระบูชามาให้ เป็นพระสามเหลี่ยมทำด้วยเนื้อกระเบื้อง ๒ องค์ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ โยมซ่วนไม่ได้รับในทีแรก พระชรารูปนั้นก็โยนเหรียญให้อีกหนึ่งเหรียญ เป็นเหรียญขนาดสตางค์แดง ลักษณะรูปไข่ พอหยิบขึ้นมาดูพบข้อความว่า “หลวงปู่มั่น” และก็มีรูปพระชรารูปนั้นปรากฏอยู่บนเหรียญ ในลักษณะนั่งขัดสมาธิิ เหมือนกับที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ซึ่งท่านมีสายตาที่คม มีพลังเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี แต่ว่าหลวงปู่ไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว โยมสมพลหรือโยมซ่วน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้เล่าความฝันให้กับนางสังเวียนผู้เป็นภรรยาฟัง
รุ่งขึ้นในเช้าของวันนั้น ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก (ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมสถิตในตอนนั้น อีกทั้งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต องค์บูรพาจารย์ของสายพระป่าธุดงค์กรรมฐาน) ในระหว่างนั้น ท่านพ่อเฟื่องกำลังเดินทางกลับวัด ผ่านมาที่บ้านของโยมซ่วน จึงได้เข้ามาแวะเยี่ยม
โยมซ่วนได้เล่านิมิตความฝันให้กับท่านพ่อเฟื่อง เมื่อเล่าจบ ท่านให้คนขับรถเข้าไปที่วัดนำรูปหลวงปู่มั่นมาให้ดู โยมซ่วนได้เกิดความอัศจรรย์ใจว่ารูปที่ท่านเห็นมีรูปร่างสันทัด เล็กผอมบาง กระฉับกระเฉง ซึ่งตรงกับรูปที่ท่านได้นิมิตเห็น ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบเคยเห็น หรือรู้จักหลวงปู่มั่นมาก่อน ถือว่าเป็นบุพพนิมิตที่ดีเป็นเหตุให้โยมซ่วนมีความศรัทธาเลื่อมใส ในพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ต่อมาไม่นานท่านพระอาจารย์อนันต์ และพระเพื่อนอีกองค์หนึ่งได้เดินทางมาวิเวก และฉลองศรัทธาญาติโยมชาวจังหวัดระยองที่ได้นิมนต์มา ในระหว่างนั้นได้บิณฑบาทที่หน้าบ้านของโยมซ่วน ซึ่งอยู่หน้าปากทางเข้าวัดมาบจันทร์ในปัจจุบัน ด้วยเหตุที่เกิดความอัศจรรย์ในนิมิตของตนที่ฝันถึงหลวงปู่มั่น จึงนิมนต์ท่านพระอาจารย์อนันต์ มาดูสถานที่วิเวกอันเป็นที่ของตนเอง และได้มีจิตศรัทธาถวายที่จำนวนหนึ่งบริเวณเขายายดา ซึ่งอยู่ในเขตหมู่บ้านมาบจันทร์ ตำบลแกลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง แด่ท่านพระอาจารย์ และคณะศรัทธาญาติโยมบ้านเพ ชลบุรี ลำลูกกา และกรุงเทพฯ ได้ร่วมกันถวายปัจจัยสำหรับขยายที่ดินสมทบด้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นของวัดมาบจันทร์แห่งนี้
ปักกลด ณ ภูเขาแห่งความเจริญ “สุภัททะบรรพต”
หลังจากที่ท่านพระอาจารย์อนันต์ได้มีพรรษากาลล่วง 8 แล้ว ท่านพระอาจารย์พร้อมทั้งพระเถระ ๓ รูป สามเณร ๑ รูป พร้อมทั้งอุบาสก ๔ คน ได้มาปักกลด บนเขายายดา ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่เดียวกับกุฏิหลังแรกของท่านพระอาจารย์อนันต์ พร้อมกับตั้งเป็นสำนักสงฆ์สุภัททะบรรพต ซึ่งหมายถึงภูเขาแห่งความเจริญรุ่งเรืองงอกงาม และตั้งขึ้นด้วยความระลึกถึงคุณตามฉายาของ พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท) ทางเข้าสู่วัดในช่วงนั้นเป็นทางเล็กๆ รถวิ่งออกได้ไม่สะดวกนัก
สภาพวัดสมัยแรก
สมัยแรกเมื่อมาอยู่ภาวนา สภาพป่ายังเป็นป่ารกชัฏ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด เช่น มีหมี เสือปลา เก้ง อีเห็น ชะมด ฯลฯ พระเณรที่มาอยู่ก็อาศัยปักกลดภาวนาตามป่า อยู่แบบธรรมชาติ โดยที่ยังไม่ได้สร้างเสนาสนะ หรือถาวรวัตถุอะไรมาก
ปี พ.ศ.๒๕๒๘ เป็นปีของการจำพรรษาแรก มีพระภิกษุจำนวน ๘ รูป สามเณร ๑ รูป ญาติโยมจากกรุงเทพฯ ไม่นิยมมาอยู่นักเพราะมีมาลาเลียชุกชุม
ถนนหนทางเป็นดินลูกรัง หน้าแล้งเต็มไปด้วยฝุ่น ช่วงหน้าฝนบางครั้งนํ้าป่าไหลลงมา ทำให้ใบไม้กิ่งไม้เข้าไปอุดตันท่อ พระเณรต้องคอยช่วยกันเขี่ยออกเพื่อป้องกันการชะขอบถนน
สมัยเริ่มก่อตั้งวัดนั้น ญาติโยมที่มาใส่บาตรหน้าวัดไม่มี พระเณรต้องอาศัยรับอาหารบิณฑบาตรจากชาวสวนที่อยู่บริเวณไกล้เคียง
ศาลาหอฉันหลังแรก เป็นศาลาที่มุงด้วยหญ้าคา ไม่มีข้างฝา เสาไม้ยูคาลิป เทพื้นปูนบางๆ บางครั้งเมื่อมีลมแรงๆ ศาลาโยกโคลง พระและโยมต้องช่วยกันจับต้นเสาเอาไว้ ต่อมาได้สร้างหอฉันใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ด้านล่างใช้เป็นโรงครัว เมื่อญาติโยมและพระเณรมากขึ้น สภาพศาลาหลังเก่าก็ดูแคบลง จึงได้สร้างศาลาหอฉันหลังใหม่ และถูกใช้งานมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ศาลาหอฉันเดิมได้ถูกพัฒนาเป็นศาลาพิพิธภัณฑ์ในเวลาต่อมา
สมัยก่อนใช้ศาลาโพธิญาณเป็นที่ทำสังฆกรรมลงพระปาฏิโมกข์ ทำวัตรเช้าเย็น ด้านล่างใช้เป็นห้องหนังสือ ห้องคลังสงฆ์ ห้องเก็บยาเวชภัณฑ์
ระบบนํ้าสมัยก่อน ใช้ปั๊มดูดมาจากสระนํ้า พระเณรต้องช่วยกันลากสายยาง พื้นดินเป็นดินแดง ไฟฟ้าก็ยังไม่มีต้องอาศัยเทียนจุดเพื่อส่องสว่าง พระเณรตั้งใจปฏิบัติภาวนากันทุกองค์ มีการเนสัชชิกทุกวันพระ โดยมีท่านพระอาจารย์อนันต์เป็นผู้นำ
ปัจจุบันนี้ เนื่องจากมีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะวัดมีความวิเวกสัปปายะ มีความเหมาะสมในการประพฤติปฏิบัติธรรม มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมสำหรับญาติโยมตลอดทั้งปี เสนาสนะจึงจำเป็นต้องสร้างเพิ่มขึ้นโดยลำดับ มีพระอุโบสถ ที่พักอุบาสกอุบาสิกา และกุฏิที่อาศัยของพระเณรประมาณ 70 กว่าหลัง เป็นกุฏิทรงไทย อยู่ห่างกันในป่า พักหลังละหนึ่งรูป เพื่อความวิเวกในการปฏิบัติภาวนา
โอภาสนิมิต
ในปี ๒๕๒๙ เป็นวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ก่อนวันมาฆบูชา ๗ วัน เวลาประมาณเที่ยงคืน ขณะที่พระเณร กำลังเร่งความเพียรภาวนาอยู่ ได้เกิดแสงสว่างเป็นแสงสีเขียวสว่างทั่วบริเวณวัด ยังความอัศจรรย์ใจให้กับพระเณรที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก
ท่านพระอาจารย์อนันต์ ได้โปรดเมตตาเล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า “พระเณรบำเพ็ญภาวนานั่งสมาธิภาวนากันในวันนั้น ก็ภาวนากันตลอดคืน มีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ด้านหน้าศาลาเรานี่แหละ เป็นแสงสีเขียวมรกตกระจายสว่างไสวมาก มีเสียงดังด้วย และด้านบนของท้องฟ้าจะเป็นดวงกลมใหญ่สีเขียว มองจากบ้านเพนี่ก็ตรงเวลากันพอดี เวลา ๒๔.๐๐ น. โยมวัดของเราก็มองเห็นจากชายทะเล เห็นสว่างไสวบนยอดเขา”
และท่านพระอาจารย์อนันต์ ได้เปรียบเทียบธรรมะที่น่าสนใจดังนี้ “แสงสว่างนี้คงเป็นจุดมุ่งหมายว่า พระพุทธศาสนาของเราก็คงมาเจริญในสถานที่นี้ ซึ่งในหลายๆ สถานที่ก็มีปรากฏการณ์เช่นนี้ เช่นวัดครูบาอาจารย์…วัดหนองป่าพงก็มีแสงเกิดขึ้นทั้งสี่ทิศ สว่างไสวรุ่งเรือง อันนี้ก็เป็นนิมิิตหมายภานนอก แต่ว่าการที่จะให้เกิดความสว่างไสวในจิตใจ นักปฏิบัตินั้นก็ต้องพากันปฏิบัติภาวนา หรือว่าอบรมจิตใจ”
ครูบาอาจารย์มาเยี่ยมเยือน
เมื่อประมาณปี ๒๕๓๐ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร อยู่วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ พระเถระที่เป็น ลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ให้ความเมตตาเดินทางมา โปรดพระเณร และญาติโยมที่วัด ได้สร้างความปีติยินดี ให้แก่พระเณร และญาติโยมเป็นอย่างมาก
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๑, วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๔๓, วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๕ และวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๔๙ พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือที่รู้จักโดยทั่วไปว่า หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนแห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้โปรดเมตตารับนิมนต์เพื่อรับผ้าป่า ในโครงการทอดผ้าป่าช่วยชาติ ณ วัดมาบจันทร์ และได้แสดงธรรมเทศนาโปรดอีกด้วย ทำให้ได้รับความซาบซึ้งใจ และเกิดกำลังใจการประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างมาก
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) แห่งวัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ท่านได้เมตตามาที่วัดมาบจันทร์ และได้แสดงธรรมโปรดพระเณรและญาติโยม เมื่อวันเสาร์ที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๒
นอกจากนี้ยังมีพระเถระ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์องค์สำคัญๆ อีกหลายรูป ที่ท่านได้มีเมตตาเดินทางมาที่วัด เช่น หลวงพ่อแบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี พระวิสุทธิสังวรเถร (หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธัมโม) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี พระครูวิสุทธิสังวร (หลวงพ่อใช่ สุชีโว) วัดปาลิไลยวัน จ.ชลบุรี พระครูสิริภาวนาภิธาน (หลวงพ่อมหาสุพงษ์ ธูตธัมโม) วัดภูดินแดง จ.ศรีสะเกษพระเทพปริยัติมงคล (โอภาส โอภาสี) หรือหลวงปู่โอภาส เจ้าอาวาสวัดจองคำ จ.ลำปาง
โดยส่วนมาก มักจะกล่าวถึงสถานที่ตั้งวัดว่า “เป็นสถานที่อันสัปปายะ สงบวิเวก เหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติธรรม และจะเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรือง ในการปฏิบัติธรรมต่อไปในอนาคต”
ไข้มาลาเรียหมด
ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด มีพระเณรที่มาพำนักอยู่ ได้เป็นไข้มาลาเรียกันเกือบทุกคน โดยเป็นคนละหลายๆ ครั้ง ต้องส่งโรงพยาบาลให้ทันท่วงที ท่านอาจารย์อนันต์เอง ก็เป็นไข้มาลาเรียถึง ๖ ครั้ง จึงถือได้ว่าผู้ที่มาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เหมือนอย่างที่ท่านพระอาจารย์อนันต์ได้เคยปรารถเรื่องนี้ว่า “มาลาเรียในสถานที่นี้ชุกชุมมาก ในสาขาวัดหนองป่าพง ในระยะนั้นถ้าใครมาปฏิบัติธรรมกันที่นี่ ก็หมายความว่า ได้มอบกายถวายชีวิตไว้ก่อน เพราะว่าเต็มไปด้วยเชื้อไข้มาลาเรีย ซึ่งในสมัยก่อนก็เป็นกันทั้งพระและญาติโยม” แต่ด้วยความศรัทธาไม่ท้อถอย และไม่กลัวความตาย ของพระเณรที่มาบุกเบิก จึงอยู่ปฏิบัติภาวนาจนกระทั่งเชื้อมาลาเรียหมด และเป็นเขตปลอดเชื้อมาลาเรียเมื่อปี ๒๕๓๔
เป็นวัดตามกฏหมาย
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๗ ทางกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ส่งหนังสืออนุญาตตั้งเป็นวัดขึ้นในพระพุทธศาสนา มีชื่อเป็นทางการว่า“วัดมาบจันทร์” โดยมีท่านพระอาจารย์อนันต์ อกิญจโน เป็นเจ้าอาวาส โดยได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดระยอง เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ปัจจุบันท่านพระอาจารย์อนันต์ โดยมีสมณศักดิ์อยู่ที่พระครูปลัด และมีพระอาจารย์มหาสมชายเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส